Pages

Friday, September 18, 2020

'พุทธิพงษ์' ปลื้ม 'อีอีซีดี' ดึงเม็ดเงินต่างชาติ (Cyber Weekend) - ผู้จัดการออนไลน์

takmaulaha.blogspot.com

พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์
รมว.ดีอีเอส เผยความคืบหน้าโครงการ อีอีซีดี เสน่ห์แรง นักลงทุนต่างชาติเตรียมเข้ามาลงทุนในไทย คาดเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลในอาเซียนได้ไม่ยาก เร่งพัฒนาบุคลากรดิจิทัลรองรับความต้องการของตลาด 

*** ปั้น อีอีซีดี สู่ ศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียน

โครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล หรือ อีอีซีดี เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ตั้งอยู่บนพื้นที่ของ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กว่า 700 ไร่ ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานีเคเบิลใต้น้ำ,สถานีดาวเทียมภาคพื้นดิน และพื้นที่ว่างเปล่า มีทำเลอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ศูนย์ไปรษณีย์ ศรีราชา ซึ่งเป็นศูนย์กลางคัดแยกขนาดใหญ่ อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับโครงการรถไฟความเร็วสูง สถานี อ. ศรีราชา จึงนับเป็นทำเลที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนในการใช้พื้นที่เป็นศูนย์กลางด้านไอซีทีของภูมิภาค

สำหรับการขับเคลื่อนในโครงการ อีอีซีดีนั้น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดความเชื่อมั่น ดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ และอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเข้าสู่ประเทศไทยจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยแบ่งการพัฒนาพื้นที่ออกเป็น 2 โครงการ ได้แก่ 

1.โครงการไทยแลนด์ ดิจิทัล วัลเล่ย์ โดยมอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดีอีเอส เป็นผู้รับผิดชอบในการสร้างอาคารสำนักงานจำนวน 5 อาคาร ภายใต้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท และ 2. โครงการดิจิทัล พาร์ค ไทยแลนด์ ซึ่ง กสท โทรคมนาคม ทำหน้าที่หาผู้บริหารโครงการเพื่อพัฒนาพื้นที่ให้เหมาะสมกับการเป็น 'อาเซียน ดิจิทัล ฮับ' ที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลครบเครื่องเหมาะสมกับการเข้ามาลงทุน 

*** ยักษ์ใหญ่ต่างชาติ จ่อลงทุน

'พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส เปิดเผยถึงความคืบหน้าของ 2 โครงการดังกล่าว ว่า โครงการ ไทยแลนด์ ดิจิทัล วัลเล่ย์ เป็นการขยายผลจากแนวคิดการจัดตั้งสถาบันไอโอที เดิม บนพื้นที่ 30 ไร่ เพื่อดึงดูด สร้างแรงจูงใจ สร้างความเชื่อมั่น ให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ อีอีซีดี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผนึกกำลังความร่วมมือดำเนินงานร่วมกันระหว่างภาคเอกชน ภาคการศึกษา สถาบัน และภาครัฐ สร้าง Digital Ecosystem และ Open Platform สำหรับ สตาร์ท อัป ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนส่งเสริม สนับสนุนการออกแบบสินค้าและบริการดิจิทัลของธุรกิจชั้นนำ และ สตาร์ท อัป รวมทั้งพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลแห่งอนาคต (New S-curve Digital Industry) ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมไอโอที หุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ ระบบอัจฉริยะ และระบบประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน มีทั้งสิ้น 5 อาคาร ประกอบด้วย

อาคารแรก งบประมาณ 48 ล้านบาท พื้นที่ 1,500 ตารางเมตร สำหรับบริษัทที่สนใจเช่าเป็นสาขาได้ดำเนินการสร้างเสร็จสิ้นแล้ว อาคารที่ 2 ในพื้นที่ 45,000 ตารางเมตร งบประมาณ 168 ล้านบาท คาดว่าจะเสร็จภายในเดือน ก.ค.2564 ซึ่งเปิดพื้นที่ในการทำงาน ทดลอง ทดสอบทั้งเทคโนโลยีเอไอ และบล็อกเชน


ส่วนอาคารที่ 3 งบประมาณ 1,300 ล้านบาท พื้นที่ 40,000 ตารางเมตร อยู่ระหว่างการเปิดประมูลหาผู้รับเหมาก่อสร้าง เพื่อเป็นแล็บในการพัฒนาแอปพลิเคชัน 5G ให้มีสินค้าออกสู่ตลาด ขณะที่อาคารที่ 4 และ 5 จะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2565 ด้วยงบประมาณอาคารละ 800 ล้านบาท พื้นที่อาคารละ 20,000 ตารางเมตร โดยอาคารที่ 4 เป็น Digital Edutainment Centre มีพื้นที่ให้ทดสอบทดลองและจัดกิจกรรม ส่วนอาคารที่ 5 เป็น Digital Go Global Centre เป็นพื้นที่รองรับดิจิทัล สตาร์ท อัป และเป็นสำนักงานและมีพื้นที่โคเวิร์กกิ้ง สเปซ รวมถึงเป็นพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมด้วย

ส่วน โครงการดิจิทัล พาร์ค ไทยแลนด์ คาดว่าภายใน 2เดือน จะสามารถประกาศเงื่อนไขการลงทุน (ทีโออาร์) เพื่อเชิญชวนบริษัทเข้ามายื่นข้อเสนอประมูลเป็นบริษัทบริหารจัดการพื้นที่ และได้ผู้ชนะประมูลปลายปีนี้ โดยมีผู้แสดงความสนใจเข้ามาแล้ว 2 กลุ่มบริษัท ในรูปแบบ พีพีพี ซึ่งเรื่องนี้ พุทธิพงษ์ กล่าวว่า กระทรวงดีอีเอส ได้เดินหน้าเจรจาหาลูกค้าต่างชาติให้กับผู้ชนะการประมูลรอไว้แล้ว โดยเป็นบริษัทจากประเทศสหรัฐอเมริกา 2 บริษัท มูลค่าการลงทุนบริษัทละ 3-4 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงกลายเป็นแรงจูงใจให้มีกลุ่มบริษัทสนใจเข้ามายื่นซองประมูล ทำให้มั่นใจได้ว่ากระทรวงดีอีเอสจะเดินหน้าโครงการนี้อย่างจริงจัง นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่ารถไฟฟ้ารางเดี่ยวจะมีการสร้างเชื่อมต่อจากสถานีรถไฟความเร็วสูง สถานีศรีราชา มายังโครงการดิจิทัล พาร์ค แห่งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง อีกด้วย

***จับมือภาคการศึกษาพัฒนาบุคลากรดิจิทัล

นอกจาก 2 โครงการในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว โครงการอีอีซีดี ยังมีทำเลที่เหมาะสมในการเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัล เพราะบริเวณใกล้เคียง มีสถาบันการศึกษาและศูนย์ขนส่งและกระจายสินค้าและพัสดุของ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) ด้วย โดยกระทรวงดีอีเอสได้ร่วมมือกับ ม.เกษตรศาสตร์ ศรีราชา ในการเป็นศูนย์ทดสอบเทคโนโลยี 5G (5G Testbed) จัดตั้งขึ้นบนหลักการการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน เพื่อสร้างความร่วมมือกับหลายภาคส่วนในการนำคลื่นความถี่ 5G มาประยุกต์ใช้งานจริงในรูปแบบต่างๆ ให้เป็นรูปธรรม เพื่อให้ประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จาก 5G และยังเป็นแหล่งศึกษานอกห้องเรียนของคณาจารย์ และนิสิต และสามารถต่อยอดสู่การพัฒนากำลังคนในพื้นที่อีอีซี 

สำหรับยูสเคส ที่ม.เกษตรศาสตร์ ได้ดำเนินการ ครอบคลุม 3 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านเกษตรและอาหาร โดยการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ทางการเกษตรตั้งแต่การผลิตจนถึงการแปรรูป นำเทคโนโลยี 5G มาใช้พัฒนา ยูสเคส ตั้งแต่กระบวนการผลิตทั้งพืชและสัตว์ อาทิ ระบบตรวจวัดสภาพแวดล้อมในการปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ 2.ด้านอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และการขนส่ง ที่นำ 5G มาใช้ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การพัฒนาระบบการผลิตอัจฉริยะ การพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อการผลิตควบคุมได้จากระยะไกล การจัดการของเสียในโรงงานอุตสาหกรรม การจัดการระบบขนส่งอัตโนมัติในคลังสินค้า และ 3. ด้านการศึกษา พัฒนาเครื่องมือเพื่อช่วยในการเรียนการสอน เช่น การใช้ AR/VR เป็นเครื่องมือประกอบการสอน หรือหลักสูตรออนไลน์ต่าง ๆ ในรูปแบบ 4K หรือ 8K

นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือในการเป็นศูนย์ DAT Co-Working Space มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพแรงงานดิจิทัลรองรับพื้นที่อีอีซี ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคการศึกษา จนเป็นต้นแบบในการพัฒนากำลังคนดิจิทัลที่เป็นรูปธรรม ทั้งในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และการสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลเข้าสู่อุตสาหกรรมดิจิทัล อีกทั้งยังมีการพัฒนาหลักสูตรความรู้ขั้นพื้นฐาน และความรู้ขั้นสูง เพื่อให้สามารถทำงานกับเครื่องมือประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูง และยังมีการสร้างผู้เชี่ยวชาญที่สามารถดึงความสามารถของ เอไอและ Data Sciences มาใช้ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในเขตพื้นที่ ไทยแลนด์ ดิจิทัล วัลเล่ย์ ตลอดจนในพื้นที่อีอีซี โดยรอบได้

'จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการนำดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจของตนเองมากขึ้น แรงงานทักษะดิจิทัลจึงเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน และเชื่อว่าเทคโนโลยีดิจิทัลและกำลังคนดิจิทัลจะช่วยต่อยอดให้กับธุรกิจได้ ดังนั้น เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวและเติบโตอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องเร่งยกระดับและปรับทักษะ ด้านดิจิทัลให้กับแรงงาน และสร้างผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล ที่มีทักษะ ไอโอที , การวิเคราะห์ข้อมูล, เอไอ ,โรโบติก หรือทักษะดิจิทัลอื่น ๆ ที่จำเป็นในอนาคต ให้เกิดบุคลากรด้านดิจิทัลที่เพียงพอทั้งเชิงปริมาณ และคุณภาพ โดยหวังว่าพื้นที่แห่งนี้จะเป็นศูนย์กลางการพัฒนาแรงงานทักษะดิจิทัลขั้นสูง ผลิตผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลที่มีคุณภาพ ให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจทั้งในอีอีซี และขยายผลความร่วมมือไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ตอบสนองความต้องการ และส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต' รมว.ดีอีเอส กล่าวสรุป

Let's block ads! (Why?)



"ด้านอุตสาหกรรม" - Google News
September 19, 2020 at 09:41AM
https://ift.tt/3hJEFXz

'พุทธิพงษ์' ปลื้ม 'อีอีซีดี' ดึงเม็ดเงินต่างชาติ (Cyber Weekend) - ผู้จัดการออนไลน์
"ด้านอุตสาหกรรม" - Google News
https://ift.tt/2XRQMK3

No comments:

Post a Comment