Pages

Sunday, September 6, 2020

ไทยปรับแผนรับมือนักลงทุนต่างชาติย้ายฐานผลิต ตอบโจทย์ฮับการค้า-ลงทุนอาเซียน - สยามรัฐ

takmaulaha.blogspot.com

“สุริยะ”โชว์ศักยภาพพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติมาไทยระลอกใหม่ ตอกย้ำการเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน เผยแผนรับมือการลงทุนรูปแบบใหม่ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การันตีความพร้อมระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่ตามมาตรฐานสากล ตอบโจทย์ทุกความต้องการทั้งการผลิต-การค้า-ลงทุน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สถานการณ์วิกฤต COVID-19 นำมาซึ่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI) แต่อย่างไรก็ตามยังเชื่อมั่นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ได้รับความสนใจจากหลายประเทศในการย้ายฐานการลงทุนและฐานการผลิตเข้ามาโดยเฉพาะในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนจากประเทศจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และญี่ปุ่น โดยเฉพาะการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร การแปรรูปสินค้าเกษตร และเครื่องมือทางการแพทย์ ขณะที่ภาคการผลิตในประเทศเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวเช่นเดียวกัน สอดคล้องกับการรายงานตัวเลขดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ที่ระบุว่ามีการกลับมาขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 (สถิติล่าสุดเมื่อเดือนมิ.ย.63)

โดยรวมแม้ว่าเศรษฐกิจโลกยังคงไม่ดีมากนัก และอาจส่งผลกระทบกับการลงทุนจากต่างประเทศได้ ซึ่งในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการรองรับการลงทุนเช่น การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตระหนักดีถึงปัญหาดังกล่าวจึงได้เตรียมความพร้อมในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมทุกแห่งเพื่อเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาคอาเซียนสำหรับรองรับการย้ายฐานการผลิต (Relocation) ของนักลงทุนที่ตอบโจทย์ทุกการแข่งขันด้วยศักยภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มาตรฐานสากลแบบครบวงจร รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก และการบริหารจัดการอย่างทั่วถึง

ขณะเดียวกัน กนอ.ยังมีโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย/เช่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อจูงใจนักลงทุนให้มาลงทุน และมีมาตรการช่วยเหลือสำหรับนักลงทุนเดิมในนิคมอุตสาหกรรมให้สามารถดำเนินธุรกิจได้คล่องตัวมากขึ้นในสภาวะการแข่งขันปัจจุบัน ไม่ว่าจะขายในประเทศหรือผลิตเพื่อการส่งออก บวกกับการที่ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ในการเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน 3 ด้านคือ 1.เป็นจุดศูนย์กลางทางการค้าของภูมิภาค 2.มีการเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์ที่ชัดเจน ทั้งทางถนนและรถไฟ 3.เป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลในภูมิภาค จึงเป็นแรงขับเคลื่อนอีกทางที่เร่งให้การลงทุนล็อตใหม่เกิดได้เร็วยิ่งขึ้น

น.ส.สมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวา กนอ.คาดการณ์ว่า การลงทุนจากต่างชาติจะขยายตัวเพิ่มขึ้น เห็นได้จากตัวเลขการยื่นคำขอใบอนุญาตประกอบกิจการของ กนอ.ช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาที่มีผู้ยื่นคำขอใบอนุญาตเพิ่มขึ้น ทั้งที่เป็นการแจ้งประกอบกิจการใหม่ และขยายกิจการเดิม แต่เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันทำให้การเดินทางเข้า-ออกประเทศของนักลงทุนเกิดการชะลอตัว กนอ.จึงได้ปรับแผนรองรับกับสถานการณ์ดังกล่าวด้วยการติดต่อกับนักลงทุนผ่านระบบเทคโนโลยีด้านสารสนเทศ และสื่อสารในระบบออนไลน์มาเป็นเครื่องมือสื่อสารข้อมูลเบื้องต้นกับกลุ่มลูกค้าและนักลงทุน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและเป็นการให้ข้อมูลที่ถูกต้องก่อนตัดสินใจเข้ามาลงทุน

ทั้งนี้ที่ผ่านมานักลงทุนให้ความสนใจมาลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อมั่นในระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการประกอบกิจการที่ได้มาตรฐานสากล ทั้งระบบไฟฟ้า ระบบประปา ระบบโทรคมนาคม และการบริการที่ครบครัน มีความพร้อมด้านห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ที่จำเป็นต่อการประกอบกิจการ อีกทั้งยังมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากทางภาครัฐที่มีเสถียรภาพและชัดเจน จึงเสมือนเป็นแม่เหล็กที่สำคัญในการดึงดูดนักลงทุนให้ตัดสินใจมาลงทุนเพิ่มและขยายการลงทุนเดิมเพิ่มขึ้น

“ไทยยังเป็นเป้าหมายของการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่สามารถการันตีความเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่เป็นลำดับต้นๆของภูมิภาค สอดคล้องกับผลการหารือระหว่างนักลงทุนญี่ปุ่น เจโทร และเจซีซี ที่ระบุว่านักลงทุนญี่ปุ่นมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทยและใช้เป็นฐานการลงทุน เนื่องจากไทยมีความหลากหลายทางการลงทุน และมีระบบห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ที่ดี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ที่นักลงทุนญี่ปุ่นสามารถเชื่อมโยงหรือหาคู่ธุรกิจเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกันได้ไม่ยากนัก”

Let's block ads! (Why?)



"ด้านอุตสาหกรรม" - Google News
September 07, 2020 at 09:47AM
https://ift.tt/3lXlCwk

ไทยปรับแผนรับมือนักลงทุนต่างชาติย้ายฐานผลิต ตอบโจทย์ฮับการค้า-ลงทุนอาเซียน - สยามรัฐ
"ด้านอุตสาหกรรม" - Google News
https://ift.tt/2XRQMK3

No comments:

Post a Comment